วันอังคาร, กันยายน 30, 2551

เด็กติดเกม


ในขณะที่สภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ เงินกระเป๋าตังหมุนไม่สะดวก ทุกคนทุกชนชั้นและทุกหย่อมหญ้า ล้วนตั้งหน้าตั้งตาทำมาหากินเก็บตัง ทำหน้าที่ที่ตนได้รับกันอย่างเต็มที่ แต่มีคนอยู่กลุ่มหนึ่ง ที่ไม่เคยสนใจสิ่งอื่นๆ นอกจากโลกของพวกเขาเอง โลกของเขาก็คือเกม และเขาคือ เกมเมอร์

ผมได้สัมภาษณ์หนึ่งในบรรดาเด็กติดเกม ที่เขาเรียกตัวเองว่าเกมเมอร์ทางอินเทอร์เน็ทมาครับ เรามาดูกัน


Pmm- สวัสดีครับ คือผมแอบรู้มาว่า คุณเป็นคนที่ใช้เวลาเล่นเกมต่อวันเยอะมากกกก ทำไมคุณถึงต้องเล่นเกมด้วยครับ?
Gamer- เริ่มจากผ่อนคายจากการเรียนหนักสือหนักคับ พอเล่นไปเรื่อยๆมันก้เริ่มติดจนเลิกมะได้
Pmm- ครับ แล้วแบบ "ติดจนเลิกไม่ได้" ของคุณเนี่ย มันเป็นแบบไหนเหรอครับ?
Gamer- ก้ถ้าว่างเมื่อไรก้จะจับเม้ามาเล่นทันทีคับ ไม่รอให้มีเวลาว่าง
Pmm- โอ้โห ชีวิตคุณนี่คงจะยุ่งตลอดเลยนะครับ แล้วที่เลิกไม่ได้ของคุณเนี่ยเ เล่นประมาณวันละกี่ชั่วโมงครับ
Gamer- อย่างน้อยก้4ชมคับ
Pmm- แล้วทางบ้านของคุณไม่ว่าอะไรเหรอครับ ผู้ปกครองของคุณ ที่คุณเล่นถึงวันละ 4 ชั่วโมงต่อวันครับ Gamer- ไม่ว่าคับเพราะผลการเรียนของผมไม่ถึงกับแย่

Pmm- อ๋อ ครับ แล้วคุณเคยมีความรู้สึกคิดจะเลิก "ติดเกม" บ้างไหม?
Gamer- ไม่มีคับ
Pmm- ทำไมถึงเป็นเช่นนั้นครับ
Gamer- เพราะเกมทำให้เราผ่อนคาย ทำให้เราใช้เวลาว่างให้เกิดประโยด (ตรงไหน) ดีกว่าเราไปติดยาเสพติด เล่นการพนัน
Pmm- แต่ติดเกมแทน
Gamer- อืม แต่มันก้ไม่ถึงกับว่าเลวร้ายขนาดนั้นนะคับ ไอ้ การติดเกมนิ แค่เราแบ่งเวลาให้ถูกก้พอ
Pmm- แล้วที่ว่าติดเกมเนี่ย คุณเล่นเกมอะไร?
Gamer- เล่นทุกเกมคับ- -^ ตอบเหมือนเด็กติดเกมทั่วไป ตั้งแต่กีลา ยัน เกมโป๊
Pmm- เกมส่วนมากที่เล่น จะเล่นไปในแนวไหนครับ ประเถทเกม เช่น ออนไลน์ ออฟไลน์ คอนโซล Gamer- ออนไล์คับ
Pmm- งั้นคุณก็เล่นบนคอมพิวเตอร์เสียส่วนใหญ่ใช่ไหมครับ?
Gamer- คับ ถ้าแต่ออกกไปข้างนอกผมก้เล่นคอนโซลคับ เพื่อทำเวลาว่างให้เกิดประโยชน์มากที่สุด
Pmm- ครับ ดีกว่าติดยา (ท่องไว้ๆ)
Gamer- ถูกๆ
Pmm- นอกเหนือจากเล่นเกม เด็กติดเกมอย่างคุณ ทำอะไรอีกบ้างครับ?
Gamer- ก้อ่านหนังสือคับ แล้วก้พักผ่อนสายตา เพื่อจะได้เล่นเกมได้นานๆ โดยมะปวดตา
Pmm- ครับ บ้าเกมแล้วยังรู้รักสุขภาพด้วย
Gamer- คับ ถ้าสุขภาพมะดีก้เล่นเกมมะได้เต็มประสิทธิภาพ

Pmm- ครับ เกมคือสิ่งเดียว ผมเข้าใจครับ แล้วนอกเหนือจากการผ่อนคลาย คุณมีแรงดึงดูดใจอื่นอีกไหม? Gamer- เพื่อนคับ เพราะเพื่อนชวนเล่นคับ แล้วเล่นเกมออนไล ทำให้เรารู้จักคนได้เยอขึ้น แค่มะช่ายใน รร แต่เปนต่างจังหวัด ต่างประเทศ
Pmm- ครับ แล้วที่คุณบอกว่าทำให้ได้พบปะเพื่อนใหม่ในเกมออนไลน์ ใช่ครับ ผมก็เคยคิดเช่นนั้น แต่คนที่รู้จักในเกมออนไลน์ มันก็แค่โลกจำลอง เป็นสมมุติฐาน ไม่ได้พบปะพูดคุยเห็นหน้าได้ยินเสียงได้กลิ่นปากแบบตัวเป็นๆนี่ครับ
Gamer- เคยสิคับ บ้างทีก้เล่นแถวใกล้ๆกัน เลยนัดพบก้มีบ้าง
Pmm- แล้วคุณได้พบคนตัวเป็นๆจากเกมกี่คนแล้วครับ
Gamer- ก็ประมาณ 10 คนคับ
Pmm- คุณคิดว่าคุณได้รับประโยชน์จากเกมไหม?
Gamer- ทำให้ประสาทไวขึ้น ทำให้สายตาเราสั้นลงเร็วขึ้น และเสียเงินเยอขึ้นกว่าปกติ
Pmm- เอ่อ.. นั่นมันไม่ใช่ประโยชน์ครับ - -"
Gamer- งั้นก็ มีเพื่อนเยอขึ้น ทำให้ไม่เครียดมาก
Pmm- คลายเครียดนี่เกมช่วยไหม?
Gamer- อย่างแรง
Pmm- เพราะผมเห็นเด็กเล่นเกมทำไมมีแต่หน้าตาเครียดๆ หัวเถิกๆ(เพราะคิดมาก) ใส่แว่น(เล่นมากไป)
Gamer- อันนั้นเขาเรียกกว่าเกรียนคับ ไม่ใช่เกมเมอร์
Pmm- แล้วคุณพอจะอธิบายความแตกต่างระหว่างเกรียนเกมเกมเมอร์ได้ไหมครับ
Gamer- เกรียนคือพวกติดเกมมากเกินไป คิดว่าชีวิตจิงก้คือเกม เช่นคนที่ไปปล้นแท๊กซี่แล้วบอกว่าเล่น GTA
Pmm- ใช่... น่าสงสารมากครับ เกรียนไม่ได้หมายถึงหัวเกรียนอะไรแบบนี้เหรอครับ เช่นคนที่เรียน รักษาดินแดน หัวเกรียน งั้นผมคงเข้าใจผิด
Gamer- คับ มันเป็นศัพท์ใหม่คับ
Pmm- แล้วคุณมีอะไรจะฝากถึงเพื่อนๆที่กำลังติดเกมอยู่ในขณะนี้บ้างครับ
Gamer- ก้แบ่งเวลาให้เกิดประโยด พักผ่อนให้เพียงพอ และอย่างทำให้สังคมไทยตกตํ่าไปกว่านี้เลยคับ และอย่าสนใจแต่เกมคับ สนใจคนข้างๆบ้าง
Pmm- แค่นี้เหรอครับ
Gamer- คับหมดแล้วคับ

นี่แหละครับ สิ่งที่คนติดเกม หรือที่เขาเรียกตัวเองว่าเกมเมอร์ คิดและทำนะครับ แต่คนๆนี้ก็เป็นแค่ส่วนหนึ่งในบรรดาเด็กติดเกมที่มากมายเหลือเกินในเมืองไทย ซึ่งสิ่งที่พวกเขาทำอยู่นั้น เขาคิดว่าพวกเขาทำถูกครับ แม้บางประเภทที่เล่นเกมมากเกินไปจริงๆ ที่พวกคนติดเกมเรียกพวกนี้ว่า "เกรียน" ซึ่งเป็นอีกวรรณะหนึ่งในระดับขั้นของเกมเมอร์ครับ และเราอาจได้ยินกิตติศัพท์ของเกรียนมานานแล้ว ใช่ตามเว็บบอร์ดต่างๆ ที่มักจะด่าคนอื่นว่า "เกรียน" อยู่บ่อยๆ

NOD32 มีเหมือนไม่มี?


(บทความนี้ค่อนข้างทำร้ายจิตใจแฟนๆ NOD32 ถ้ารับไม่ได้ให้ผ่านไปเลยครับ)

หลังจากที่ผมได้ผ่านประสบการณ์ใช้ NOD32 มาอย่างยาวนานแล้ว ผมได้ประสบพบว่า ไวรัส malware ต่างๆทั้งหลายทั้งปวงนั้น ได้เข้ามาหมักหมมในคอมพิวเตอร์กันอย่างคับคั่ง ทั้งๆที่ NOD32 อัพเดทตลอดจริงๆ (เทียบหมายเลขชุดอัพเดทกับคนที่ซื้อของแท้) ก็ยังหา malicious ware หรือโปรแกรมที่มีภัยคุกคามต่อระบบของเราไม่ได้ และไม่เคยได้เลย มีก็ร้อง autorun.inf บ้าง นานทีปีหน แต่มันก็ไม่ลบให้ครับ น่าโมโหอย่างสุดซึ้ง เสร็จแล้วเจอไวรัสที่ชื่อ Win32/PSW.OnLineGames.NMY trojan แต่อยู่ใน Drive ต่างๆ มีหมดเลยทั้ง C: D: E: F: เจอแล้ว ก็ร้องเอะอะโวยวาย แต่ก็ลบไม่ได้ ซ้ำร้ายยังขึ้นหน้าจอเตือนเจอไวรัสตลอด เจอแล้วเจออีก ลบก็ลบไม่ออก กดปิดไปก็เจออีก จนต้องนั่งขุดกระทู้ไปได้ชื่อ Trojan Remover มาจาก pantip เป็นของเสียตังซะอีก เซ็งเลย ยังดีที่ลบได้ครับ เลยโมโห uninstall NOD32 ทิ้งเลยดีกว่า เสร็จแล้วลองไปโหลดร่มแดงเวอร์ชั่นของฟรี Avira Personal มา เออ.. มันสแกนเจอ malicious เป็นร้อยเป็นพันในคอมพิวเตอร์ผม แถมลบออกได้หมดด้วย(อาจลบเลยเถิดไปบ้างก็ไปกู้เอาจากถังกักสารพิษ - -") แต่ NOD32 นี่ไม่เคยแสดงออกเลย หรือคิดว่ามันเป็นแค่"ของหลอกเด็ก"?

มาถึงจุดนี้แล้ว จะให้ด่าอย่างเดียวคงไม่ได้ พูดถึงข้อดีก็มีเหมือนกันสำหรับ NOD32 เช่น ไม่หน่วงเครื่องใช้ทรัพยากรน้อย เมนูใช้ง่ายสแกนสะดวกแถมเร็วดีด้วย แต่ปัญหาคือสแกนอะไรไม่เจอก็ไม่รู้จะใช้ไปทำไมอีกแหละครับ อีกทั้ง... ไม่เข้าใจว่าทำไมร้านคอมพิวเตอร์ที่ซ่อมคอมฟอร์แมทคอม หรือโรงเรียนต่างๆ ก็ใช้กันอยู่แค่ NOD32 ร้านหนังสือชั้นนำก็มี หรือผมจะเข้าใจอะไรผิดซึ่งก็ไม่น่าใช่ เพราะตามที่บอกคือ อัพเดทตลอด

คิดเห็นกันอย่างไรก็ทิ้งไว้ด้างล่างเลยครับ...

ใช้ Photoshop รวมภาพจากมือถือกองรวมกันแบบแนวๆ

สำหรับหลายๆท่านที่ชอบถ่ายภาพมากๆ (โดยเฉพาะภาพตัวเอง) แล้วอยากจับมารวมกันเป็นภาพเดียว ผมมีวิธีนึงมาแนะนำครับ นั่นคือทำเป็นกองภาพถ่ายพารารอย (เอาภาพมากองรวมกัน)

เริ่มแรก เปิดไฟล์ภาพใหม่ขนาดใหญ่สุดๆก่อน ใน Photoshop คำสั่ง File>New พิมพ์ไปเลย ใหญ่ๆ เพราะเราจะทำการรวมภาพนิ่ครับ โดยภาพนั้น ให้ background content เป็น transparent ด้วยครับ

ผมตั้งไว้ที่ 1600*1200 จากนั้นเปิดรูปของเรา แล้วแปะรูปของเราไปในไฟล์ที่เราเปิดไว้ตอนแรก(หวังว่าคงทำกันเป็นนะ ^ ^)

ส่วนมากรูปที่ลากลงมา จะเล็กกว่าภาพเปล่าๆที่เราสร้างไว้นะครับ เมื่อได้มาแล้วให้ทำ selection สี่เหลี่ยมโดยกด M แล้วทำรอบๆภาพที่เราลากลงมา จากนั้นลงสีขาวลงไปด้วย paint bucket tool(G) สีขาว ภาพจะออกมาประมาณนี้นะครับ




เสร็จแล้ว ให้กด (V) move tool เพื่อจะหมุนภาพ


โดยปกติแล้ว Photoshop ไม่ได้ให้คำสั่งมาด้วย ดังนั้นด้านบน ให้เราตั้งแบบภาพครับ (ต้องติ๊ก show transform controls ด้วย)

เสร็จแล้วภาพจะมีขอบขึ้น ให้หาจุดหมุนแล้วหมุนซะ ตามภาพ




เมื่อหมุนได้ที่แล้ว กด enter ต่อไปคลิกขวาที่เลเยอร์รูปที่พึ่งหมุนไป เลือก blending options จากนั้นติ๊กถูก Drop shadow แล้วตั้งค่าใ้ห้ได้ประมาณในภาพนี้นะครับ


แค่นั้นแหละ เสร็จแล้ว ต่อไปก็เอาภาพอื่นมาทำวิธีเดียวกัน โดยอาจจะกดที่ลูกตา เพื่อปิดรูปเก่าก่อนก็ได้ กันงง แล้วก็ทำไปหลายๆรูป แบบนี้



และทำต่อไปเรื่อยๆ จนมันออกมาประมาณนี้ แต่งนิด เสริมหน่อย เอาพื่นหลังมาใส่ ก็เป็นอันเสร็จครับ


เป็นยังไงครับ ง่ายใช่มั้ยครับ แค่นี้เราก็ได้วิธีผสมภาพแบบเก๋ๆ แนวๆ มาใช้กันแล้ว หุหุ


ปล.Tut ของผม จะเน้นเรื่องของการฝึกฝนด้วยตัวเอง
ปล2.มีอะไรสงสัยก็ถามลงไปใน comment ได้เลยครับ

PMM เรียน Science ที่โรงเรียน


"วิชาวิทยาศาสตร์เป็นอะไรที่เข้าใจยาก สับสน ซับซ้อน และโหดร้ายมากๆ เวลาครูให้การบ้าน ยิ่งตอนสอบแล้วก็ เหมือนตกนรกยังไงยังงั้น เกรดก็ได้น้อย พ่อแม่ต้องไม่พอใจแน่ๆ แล้ว GPA จะทำยังไงเนี่ย"


เมื่อถามถึงวิชาวิทยาศาสตร์ หลายๆท่านอาจจะบอกแบบนี้ ซึ่งมันก็จริง... ในหลายๆโรงเรียน และในหลายๆชีวิต.. เพื่อการเรียนต่อ แต่ถ้าหากท่านได้อ่านบทความเรื่อง PMM เรียน Economy ที่โรงเรียน ไปแล้ว(ใครยังไม่ได้อ่าน แนะนำให้อ่านซะ) ท่านก็พอจะนึกออกว่า ที่โรงเรียนผมวิชาวิทยาศาสตร์มันเป็นยังไง เรื่องที่ผมกำลังจะเล่าต่อไปนี้ อาจจะเหนือความคาดหมายของท่านที่อ่านอยู่ หรือว่างั้นๆ ก็แล้วแต่ดวงครับ.....

ครูที่สอนมีนามว่า "นันทนา" ครับ นามสกุลอะไรมิอาจทราบได้ เหมือนจะชื่อเล่นว่า "นอร่า" ชื่อเหมือนชาวต่างชาติซะงั้น ทั้งๆที่ชื่อจริงชื่อนันทนา แต่เพื่อนเคยเล่าให้ฟังว่า อาจารย์น่อร่าเกิดอยู่อังกฤษครับ เอ แล้วทำไมชื่อจริงว่านันทนานะ แต่ก็น่าจะจริง เพราะแกพูดไทยไม่ชัด ทั้งนี้ทั้งนั้นพวกผมและผองเพื่อนก็เรียกแกว่า"จารป้า" อยู่ดีนั่นแหละ และแก claim.. อ่า เคยกล่าวไว้ว่าวิชาที่แกสอนเป็นวิชา Planet Earth ครับ ชื่อเหมือนรายการทีวีเลย เรื่องที่แกสอนก็คือพวก ดาราศาสตร์ ประชากรโลก ไม่ก็ โรงงานไฟฟ้าและการปั่นไฟฟ้า และเหมือนช่วงนี้จะสอน Global Warming สภาวะโลกร้อนอะไรพวกนี้ครับ ดูเหมือนจะเป็นวิชาธรรมดาๆ ไม่เห็นมีอะไรเลย สอนเรื่องโลกร้อน ก็ถูกแล้ว ยังยังผมยังเล่าไม่จบ

เรามาดูกันที่วิธีการสอนของแกครับ ตอนเปิดภาคเรียนมาใหม่ๆ ที่เพิ่งเจอจารป้าครั้งแรก เหมือนจะเคร่งมากๆ แต่ด้วยนิสัยของเด็กวัยรุ่น มันเม้าท์แตก เหมือนท่อประปารั่ว คุยกันไม่หยุด แต่แกก็สอนไป และสอนไป พอวันที่สองก็เริ่มมีเพื่อนเล่น PSP กันในคาบเรียนและ แกก็เดินมาด่านะ ต่างกับของ Economy ที่แกไม่พูดซักคำ แล้วแกก็ไป บางวันที่รมณ์บ่จอยก็กระชากสายหูฟัง iPod หลุดไปเลยก็มี ร้ายสุดๆ และแกจะสอนเสียงเบาๆมากๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ แบบว่า นั่นพูดกันต่อหน้าต่อตากันแทบจะไม่ได้ยิน อาจเป็นเพราะเพื่อนมันเม้าท์แตกกันอยู่ก้ได้ แต่ไม่น่าจะเกี่ยวนะ ถ้าใกล้ๆแล้ว อะไรๆก็น่าจะได้ยินชัด จนผมต้องนั่งใกล้จนน้ำลายแกลอยมาโดนหน้านั่นแหละ ถึงจะได้ยิน และด้วยความเสียงเบาของแกมั้ง เลยทำให้นักเรียน(รวมทั้ง PMM)ขี้เกียจจะเรียน


ความสุดยอดของวิชานี้ก็คือ อารมณ์ที่เดือดได้ง่ายๆ เหมือนน้ำมันที่รอการจุดระเบิดมันวิ่งรออยู่ในหัวของแกอยู่แล้ว บางทีคนคุยกันเสียงดัง เล่นเกม ฟังเพลง ถึงขั้นต่อลำโพง แกก็ไม่เคยว่าครับ แต่สัปดาห์ต่อมา แกดันโมโหซะงั้น ผมยังจำเหตุการณ์นั้นได้ดีเลย วันนั้นแกของขึ้น และจับกระเป๋าเพื้อนโยนไป ตุ๊กตาคอขาดเลย เป็น Stitch(จาก Lilo & Stitch: The Series)เสียด้วย ผมอึ้งไปเลยครับ สงสัยเม็นไม่มา อีกเรื่องคือ บางวันเด็กคุยกันเสียงดังจนผมหูแทบหนวก แกก็จะสอนไปแบบที่ไม่มีคนได้ยินแบบนั้น หรือบางวันเพิ่งจะเริ่มต้นคุยกัน(ตอนเริ่มคุยโดยธรรมชาติเสียงจะเบาก่อน) แกก็ไล่พวกนั้นไปหมดเลย GET OUT! GET OUT! และพาไปหาผู้ใหญ่ลี[1] ซึ่งต่อจากนั้นก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นแล้ว


อีกตอนหนึ่งก็คือ ช่วงนั้นโรงเรียนมีการแลกเปลี่ยนเด็กจีนกันครับ อาไทยไปจีน เอาจีนมาไทย ในเวลาไม่พร้อมกัน กล่าวคือ เอาคนไทยไปอยู่บ้านจีนก่อน แล้วเด็กจีนพวกนั้นก็มาอยู่บ้านเด็กไทยบ้าง และเป็นคลาสที่เด็กจีนต้องมาเรียนกับนันทนาสอนวิทยาศาสตร์นี่พอดี แล้ววันนั้นจารป้าแกก็กำลังของขึ้นอยู่ สุดท้ายก็ตะเพิดเด็กจีน ที่ฟังภาษาอังกฤษแทบจะไม่ออก(งง) ไปหมดเลย น่าสงสารมาก เพิ่งจะมาแท้ๆก็โดนไล่ละ โดยไม่ได้ทำอะไร

ช่วงสอบ... เอ ผมไม่รู้สึกจะมีความจำตอนสอบ science เลยแหะ สงสัยจะไม่ได้สอบ - -" จำได้ว่าเคยส่งงานไปสองสามครั้ง ช่วงสองเดือนแรกของปี เป็นงานเรื่องสิ่งมีชีวิตที่ฉันเลือก แต่ต่อจากนั้นก็เหมือนไม่ได้เจอกันเลย ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าคนอื่นๆรู้สึกแบบนี้ป่าว ไปเรียนเหมือนไม่ได้เรียน ไปนั่งโม้กัน ฮ่าๆ

บางทีแกโมโหสุดๆ ถึงกับโทรตาม ผู้ใหญ่ลี[1]มาช่วยคุมเด็กเลยครับ แต่ก็นะ ไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้นเลย เพราะความสัมพันธ์ระหว่างผู้ใหญ่ลีกับนักเรียนมันยิ่งกว่า ลูกศิษย์กับครูครับ กิ๊กเหรอ ว้ายไม่ใช่ ด้วยฐานะที่เป็นครูใหญ่ เลยไม่ได้สอนหนังสือทำให้นานๆเจอแกที ประกอบกันการที่ผู้ใหญ่ลีเป็นครูใหญ่ใจดีด้วย ทำให้เด็กๆสนิทสนมกับแกมากๆ เพราะแบบนี้ การที่เอาผู้ใหญ่ลีมาช่วยดูแลการสอนก็ไม่เกิดประโยชน์หรือโทษหรืออะไรทั้งนั้นครับ เหมือนกับไม่มีอะไรเกิดขึ้นว่างั้น แถมเอาผู้ใหญ่ลีมา ยิ่งทำให้เด็กมีความสุข จะได้คุยเล่นหนุกหนานๆ

ในช่วงหลังๆมานี่ จารป้าแกไม่เคยสอนเลยด้วยซ้ำครับ เอาแต่แจกกระดาษ สงสัยแกคงจะเบื่อมากๆแล้ว เด็กบ้าอะไร มาโรงเรียน ค่าเทอมก็แพง มาก็ไม่เรียน เป็นผม.. ถึงไม่เป็นผม ผมเห็นผมก็เบื่อแล้วแหละ พ่อแม่เสียตังมาให้เรียน จ้างครูสอน ครูเป็นลูกจ้าง นักเรียนเป็นนายจ้าง แต่นายจ้างให้เงินลูกจ้างโดยไม่ให้ลูกจ้างได้ทำงาน ใครที่กำลังจะเป็นครู ผมแนะนำให้มาทำงานที่นี่เลยครับ รับรองสบายจริงๆ ไม่สอนก็ไม่มีคนว่า เหมือนอาจารย์ท่านนึง ซึ่งตอนนี้เป็น บุคคลปกปิด อยู่ ไว้จะเล่าให้ฟังในวันหน้า รอบนี้ PMM ต้องลาไปก่อน ไว้เจอกับใน blog หน้าครับผม



[1]พบกับบทความผู้ใหญ่ลี เร็วๆนี้

PMM เรียน Computer ที่โรงเรียน

อยู่มาวันหนึ่ง โรงเรียนของผมได้เห็นความสำคัญของคอมพิวเตอร์ จึงได้จัดวิชา Career and Technology เวอร์ชั่น Computer ขึ้นมาครับ ซึ่งเมื่อปีที่แล้ว รู้สึกคนสอนจะชื่อ ปิกาจู หรือไรเนี่ย แล้วต่อมาก็ชื่อ แมททิง อะไรโรนี่ๆ ไม่รู้ แต่ปีนี้สิครับ คนสอนเป็นหนุ่มเนื้อหอมไฟแรง ที่หมายตาของกลุ่มสาวประเภทสอง นาม "ประเสิด" ไม่รู้หรอก ภาษาไทยของคำๆ นี้สะกดยังไง เพราะเคยเห็นแต่ชื่อเป็นภาษาอังกฤษ อีกอย่าง อาจารย์ท่านนี้เวลาสอนจะพูดไทยไม่ได้(แต่ฟังได้นะ หมายถึง ถามไปภาษาไทยนี่ตอบกลับถูกต้อง รู้เรื่อง) ยกเว้นก็แต่ตอนด่าเด็ก ที่จะใช้ภาษาไทย จะได้ด่ากันรู้เรื่องมั้ง

ไฟของแกแรงจริงๆนะครับ จำได้เลยว่าเปิดเทอมมาวันแรกๆ ก็ลุยห้องคอมที่เพิ่งสร้างใหม่มาต้องรับแกโดยเฉพาะมั้ง เป็นคอมชุด Dell ทั้งหมด แต่ยังจอฟ้าอยู่บ้าง ไม่เป็นไรเห็นว่าเป็นโรงเรียน สัปดาห์ต่อมา ได้มีโอกาสไปเรียนกับแกอีก ทีนี้ผมก็เล่นเน็ตสิครับ ห้องคอมมันมีเน็ตก็เล่นซะ ไปๆมาๆ มีตัวหนังสือแดงๆ บอก Do your work ...แล้วผมก็ขาดการติดต่อกับหนูของผมไป อีกไม่กี่อึดใจ จอกลายเป็นสีขาวซะงั้น เห็นได้ชัดเจนเลยว่าใช้ NetOpStudent ชัวร์ๆ ก็เลยเริ่มคิดอะไรได้ อ้อ คอมพิวเตอร์ สอน Photoshop น่ะครับ และอย่างที่รู้คือ ผมน่ะศึกษาวิชา Photoshop มานานร่วม 5 ปีแล้ว จึง.. ไม่ได้เรียน นั่งเล่นเวป ออน msn และก็อย่างเคย จอขาวมาอีกแล้ว ฮ่าๆ


โอเค ผ่านพ้นไปแล้วสำหรับวิชา Photoshop เกรดทำได้ไม่ค่อยดี เพราะไม่ค่อยได้เรียน และนึกว่าตัวเองเทพแล้ว ก็เทพจริงแหละ แต่มันไม่ตรงจุดที่ได้คะแนน เด็กๆอย่าทำนะครับ เทพแล้วก็เทพไป แต่ก็ต้องเรียนด้วย เดี๋ยวเป็นแบบพี่ ต่อไปพี่แกสอน HTML ครับ ซึ่งเป็นอะไรที่มีประโยชน์กับ blog มากๆ และอย่างที่รู้กันอีกคือ ในฐานะคนที่ใช้คอมมากกว่า 12 ชั่วโมงต่อวัน มันต้องรู้ HTML มาบ้างอยู่แล้ว(และเชื่อว่าหลายๆท่านที่กำลังอ่านอยู่ก็ต้องรู้จัก แน่ๆ) จึงทำให้เกิดอาการ"เทพขี้เกียจเรียน"อีก ฮ่าๆ และในขณะนั้น ก็เหมือนจะได้รู้จักกับวิธีแก้โรคจอขาวแล้ว จะเป็นยังไง ต้องอ่านต่อไปครับ

มีอยู่อย่างหนึ่งที่นิยมกันในห้องคอมของประเสิด ก็คือ Frets On Fire ซึ่งก็คือผมเอง ที่เอาใส่ CD ไป และฝังไว้ใน HDD ซะ และเริ่มโยนไปไว้ที่ไดร์ฟ Z ซึ่งเป็นไดร์ฟที่เอาไว้ส่งงานเด็กนั่นแหละ ฮ่าๆ มันเลยแพร่กระจายเร็วสุดๆ และในที่สุดวันที่ผมภาคภูมืใจมากที่สุดก็มาถึง ก็คือวันนั้น เดินเข้าห้องคอม เจอเด็กน้อยเด็กโตเด็กมหาลัย นั่งเล่นกับเต็มห้อง เหมือนร้านเกมเลย ผมซึ้งน้ำตาร่วงเลย เพราะมันเป็นเกมที่ผมเป็นคนเอามา และไม่เคยบอกใคร(ปิดทองหลังพระ) บอกที่นี่ที่แรก และหลังจากวันนั้นเป็นต้นมา รู้สึกคีย์บอร์ด Dell มันจะวางแ้ล้วกระดกๆยังไงไม่รู้ ก็ลองคิดดู เล่นกีต้าร์นะครับ ด้วยคีย์บอร์ด มันต้องมีแรงกดเป็นธรรมดา สนุึกสนานกันไปครับ

ความสนุกยังไม่สุดแค่นั้น เพราะผมได้เอา soldat ไปฝังไว้อีก แต่รู้สึกจะไม่เป็นที่นิยมเท่า Frets on Fire สงสัยเด็กเบื่อแล้ว เลยเล่นกันแค่สี่คนในวงแลน ใครแพ้เลี้ยงไอติมแห้ง

กลับมาที่คาบเรียน ขณะที่ผมเขียน HTML อยู่นั้น ก็จะมีเสียงตลอดเลย "จารย์ขา ล๊อคคอมหนูทำไม" "จารขา ทำไมจอแดง" "เห้ย ไอ้เหี้ย เม้าส์กูขยับเอง" แล้วก็จะมีเสียงใหญ่ๆตอบกลับดังๆว่า "You're just playing Hi5 " "No, Don't play games. Stop itๆ" ฯลฯ ที่สังเกตุได้คือ พัฒนาจากจอขาวเป็นจอแดงแล้ว เขียนประมาณว่า "ห้ามกินขนม ห้ามเล่นเกม ห้ามเปิดเวป ห้ามออน msn แอนด์ดููยัวร์เวิร์ค" จนในที่สุดผมทนไม่ได้ เอามือเอื้อมไป unplug ตัว Powersupply แล้วยัดเข้าใหม่ คอมร้องตี๊ด จากนั้น ตรงนี้สำคัญมาก รอให้คอมติด และไป disable ตัว LAN ซะ จบข่าวครับพี่น้อง สบายยย ทำงานได้อย่าอิสระไม่มีคนมาคอยแอบดู ถึงทำแบบนี้จะเป็นการตัดการติดต่อกับโลกภายนอกด้วย เล่นเน็ตไม่ได้ แต่ก็ไม่ใช่ปัญหา เพราะผมได้ตุนเกมนามสกุล .swf ไv้มากมายใน USB Portable Storage Device โชคดีทีคอมโรงเรียนมาโปรแกรม Flash 8 อยู่แล้ว เลยสามารถเปิด .swf ได้สบายๆ ไม่ต้องพึ่ง browser และเกมของผมไม่ใช่เกมธรรมดาๆ ที่หาได้ทั่วไป เป็นเกมจาก Newgrounds.com ซะอีก ซึ่งเป็นเวปแฟรชที่ดีที่สุดในโลกแล้ว เขาให้ Concept ว่า "Everything By Everyone" มีระบบ Portal ครับ คือให้คนส่ง submission(ผลงานของตัวเอง) ได้เรื่อยๆ ซึ่งแต่ละคนมันก็สุดๆทั้งนั้น เพราะเวปนี้มีรางวัลประจำปีให้ด้วย สำหรับแฟรชที่คนเข้าไปดู/เล่น เยอะๆ ผมเลยใช้หมาย่าง DownThemAll โหลดๆๆๆ แหลก ตอนนี้ตุนได้ 100กว่าเม็กแล้วครับ ค่อยๆอัพเดทสะสมมาเรื่่อยๆ อาทิตย์นึงเพิ่มสามสี่เกมอะไรแบบนี้ พอเำพื่อนเห็นผมเล่น แน่นอน ต้องอยากเล่นบ้าง ผมก็เลยจัดโยนเกมลงไปในไดร์ฟส่งงานของอาจารย์ประเสิดเลย(เหมือนที่ทำกับ Frets on fire นั่นแหละ) เพื่อตัดปัญหาการจราจล(ต่อยกันแย่ง usb ฮ่าๆ) และอัพเดททุกอาทิตย์กันคนเบื่อด้วย เพราะงั้นตอนนี้ ถึงคุณจะห้ามเราเล่น จะล๊อคยังไง มันไม่ผลแล้วในตอนนี้ ฮ่าๆ (มีวิธีแบบไม่ต้องตัดเน็ตและไม่โดนล๊อคด้วยนะ แต่ไม่อยากจะบอก ฮ่าๆ แบบว่ามันงงๆนิดหน่อย)

พอก่อนละกัน เดี๋ยว PMM ซวย 555+

PMM เรียน Economy ที่โรงเรียน



รู้ๆกันอยู่ว่าวิชา Economy(เศรษฐศาสตร์) มีความจำเป็นมากๆๆๆ ในการที่จะดำรงชีวิตต่อไป เพราะจะทำให้เรารู้หลายๆด้าน เช่นการกำหนดราคา กลุ่มเป้าหมาย ฯลฯ

แต่ปัญหามันมีอยู่ว่า อาจารย์ที่สอนที่ชื่อ Anthony Hall(icopter)
-อ้างชื่อไปเลยละกัน เค้าแรงจริง

แกสอนได้สุดยอดมากๆครับ โดยหลังการสอนของแกนั้นง่ายมาก จากการวิเคราะห์ของผม แกใช้หนังสือ Economics for Dummies

เพราะเห็นแกเดินหน้าเครียดๆถือไปถือมา และอีกคำพูดที่เขาเคยคุยให้ผมฟังว่า วิชานี้มีแต่คำศัพท์ยากๆ ทำให้นักเรียนเสียสมาธิในการเรียน จากครูไปคนข้างๆแทน(ผมเรียนเป็นภาษาอังกฤษน่ะครับ) แกเลยไปนั่งพิมพ์ในภาษาแบบวัยรุ่นๆของแกเอง ซึ่งหน้าๆนึง สำหรับผมจะมีคำที่ไม่เข้าใจซักสามคำเท่านั้น แต่มันก็แค่รู้คำแปล ไม่ใช่ เข้าใจบทเรียนนี่นา
วิธีการสอนของแกง่ายมากๆครับ คือตอนเปิดเทอมมาแกแจกแฟ้มพร้อมสันชนิดสอดๆถอดๆใส่ๆได้ และทุกๆ ชั่วโมงที่เรียน จะได้กระดาษมายัดใส่แฟ้มไว้ คลาสนึงประมาณสองแผ่น วิธีที่แกสอนก็คือ สอนด้วยการอ่านกระดาษของแก(อันเดียวกับที่แจกเด็ก) และอธิบายบน blackboard (ที่ไม่ใช้ white เพราะแกบอกเหม็น อีกอย่างทำเสียงเสียวๆไม่ได้้ด้วย)นานๆจะถามทีนึงครับ และวันดีคืนดี แกก็จะบอกว่าจะมีสอบเก็บคะแนนในคาบต่อไป ซึ่งเป็นที่น่า...... ตกใจเหรอ ป่าวเลย พวกผมและผองเพื่อนไม่เคยตกใจให้กับเรื่องเกี่ยวกับคะแนน ฮ่าๆ อยากที่ผมบอกไป เพราะช่องที่เขียนคำตอบแกก็ให้มาเป็นหน้าๆเหมือนกัน
เพราะแกน่ะใจดีมากๆครับ ให้ open book ด้วย ไม่ใช่ book ดิ่ sheets ข้อสอบแกก็เลยไม่ยากเท่าไหร่ เพราะมีคำตอบในกระดาษที่แจกมาหมดแล้วครับ ถ้าใครรักษาของดีๆก็จะได้คะแนนแบบชิลๆ แต่บางทีข้อสอบแกก็มาแบบงงๆด้วยครับ เช่นถามกว้างๆ แล้วให้เราสรุปตอบ ถ้าอ่านไม่เข้าใจเรื่อง ก็ต้องลอกไปหมดทั้งย่อหน้าเลย อะไรแบบนั้น (สอบเสร็จแล้วก็จะไปตรวจและแจกคืนเอาไปหนีบไว้ตามภาพ)

ตอนนี้หลายท่านอาจสงสัย ว่าตอนสอบจริงๆ ที่สอบในห้องสอบจะเป็นยังไง ไม่ต้องกังวลครับ ทั้งสอบ mid term และ final ก็ open sheets กันหมดเลย ปัญหาจริงๆอยู่ที่ O-Net มากกว่า ฮ่าๆ

หลังจากได้เรียน ได้สอบกันไปแล้ว ทีนี้ผลตอบรับนักเรียนเป็นยังไงมั่ง คือ เรื่องมันเป็นแบบนี้ครับ
  • ในระหว่างคาบเรียน จะมีคนนั่งโม้กัน 50%
  • ในระหว่างคาบเรียน จะมีคนเล่น PSP ถึง 20%
  • ในระหว่างคาบเรียนอีก 10% นั่งฟัง mp3 ดู mp4 ยิง mp5 ว่าไป
  • และอีก 15% นอนหลับลงไปบนโต๊ะ (เดาเอาว่าพยายามจะเรียนแต่วิชาพาง่วง)
  • 5% ที่เหลือน่ะเหรอ.... นั่งแต่งหน้าครับ
  • เรียน 0% ฮ่าๆ
ใจจริงผมอยากจะเรียนม๊ากมาก เพราะวิชานี้เหมือนจะมีประโยชน์กว่าวิชาหลักอื่นๆด้วยซ้ำ (ยกเว้่น art กับ P.E. และวิชาอังกฤษ) เพราะเป็นอะไรที่เรียนแล้ว เอาไปใช้ได้จริงๆ แน่นอน หลายท่านที่อ่านอยู่อาจจะบอก เลขก็สำคัญ วิทย์ก็สำคัญ แต่สำหรับผมมันไม่ใช่สิครับ เพราะผมเข้าใจแค่ว่า เรียนไปก็ได้แค่สอบเท่านั้นแหละ อีกอย่างสองตัวนี้ไม่เคยชอบอยู่แล้วครับ เรียนไปมันเปลือง Harddisk ครับ แต่ก็นะ ด้วยวิธีการสอนของแก ที่อ่านกระดาษและเขียนกระดาน(บางทีก็บังคับให้จด) นานๆจะว๊ากแบบเร็กโตแว๊กที ตอนที่เป็นช่วงใกล้สอบนั่นแหละ(ดูความหวังดีสิ) ว๊ากทีก็สะดึ้งตื่น แล้วก็นั่งเรียน เรียน เรียน ฟัง ฟัง ฟัง ...หลับ.. ผมว่าสาเหตุของการหลับแบบประหลาดของนักเรียนทั้งหลายที่เรียนกับแกก็คือ แกไม่เคย interactive อ่า... ปฎิสัมพันธ์กับนักเรียนเลย แบบว่า ตั้งหน้าตั้งตาสอนๆๆ อย่างเดียว เด็กนั่งเล่น psp ยังไม่ว่าเลย บางวันผมเอากีต้าไปนั่งปั่นในห้องแกก็ไม่ว่า แถมยังถามอีกว่าตะกี้เพลงไร แถมเสียงพูดก็เบา แข่งกับพวกที่นั่งโม้กันได้ซะที่ไหนเล่า ใจจริงผมว่าจะซื้อกล่องดำให้แกปีใหม่แล้ว เผื่อนักเรียนจะมีความรู้ค้างอยู่บ้าง ไม่ใช่ฟังทะลุหูจนหลับ

อาจารย์ท่านนี้แกเป็นคนชอบดูนกม๊ากมากครับ ชอบเป็นชีวิตจิตใจ ผมเคยขนหนังสือ shutter photography ไปทายชื่อนกแก ยังตอบได้หมดเลย แกเคยเป็นผู้ก่อตั้งชมรม(ร้าง) ชื่อ Bird Watching ด้วย เท่ห์ซะ แต่ก็นะ มันร้างอ่า

น่าจะพอได้แล้วสำหรับ blog นี้ เดี๋ยวจะมีคนมาว๊ากเอา ว่าเขียนบ้าไรอ่านไม่เข้าใจ กระแดะใช้ภาษาอังกฤษ

วิธีใช้ Photoshop ทำภาพจากมือถือให้สวยและดูดีขึ้น



…กล้องมือถือต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นโนกิ๊ก โซน่า ไอโมบูด โมโตโหลย ไม่ว่าจะมีความล้าน(megapixel) มากเท่าไหร่ แต่ข้อจำกัดของมันคือ เลนส์ที่เล็กมาก
รูปที่ผมยกมาคือ รูปจากมือถือโนเกีย N อะไรไม่ทราบได้

เอาล่ะ….

...1.)ในขั้นตอนแรก ให้ปรับแสงก่อนครับ ใน Photoshop ไปคำสั่ง Image>Adjustments>Levels..
ให้หาค่า่สีตามต้องการ โดยอาจจะเลื่อนขีดดำ(ค่าของส่วนเงา) หรือ เทา(สีกลาง) เมื่อได้ตามต้องการแล้ว เรามาดูขั้นตอนต่อไปครับ




...2.)
จากรูปจะเห็นข้อแตกต่างตรง สีที่เข้มขึ้น และเลเยอร์ประหลาดๆครับ (mask)ที่ผมทำหลังจากปรับแสงคือ ทำให้ฉากหลังเบลอ จากในรูป เลเยอร์ที่มี mask คือเลเยอร์ที่มัวทั้งหมดครับ วิธีทำเบลอ ให้ไปคำสั่ง Filter>Blur>Len Blurs.. ปรับตามใจชอบ จากนั้นกดปุ่ม เสร็จแล้วกด (B) เพื่อใช้พู่กัน แล้วเลือกสีดำ มาใส่ในส่วนที่เราต้องการให้ชัดอยู่นะครับ ปรับพู่กันให้ฟุงๆหน่อยก็ดี โดย คลิกขวา ลากที่ Hardness ไปซ้ายสุดครับ 3.) เมื่อได้ฉากหลังเบลอๆตามต้องการแล้ว การโมรูปยังไม่เสร็จ ต้องทำสีผมด้วยครับ วิธีทำให้กดปุ่ม Adjustment Layer เลือก Solid Color.. เลือกสีผมที่ต้องการ แล้วเปลี่ยน Mode เป็น Overlay ตามภาพ กด ctrl+i เพื่อทำให้ mask กลายเป็นสีดำ แล้วใช้สีขาวดาที่ผม อย่างบรรจง(วิธีคล้ายทำฉากเบลอ)

...3.)เมื่อได้ฉากหลังเบลอๆตามต้องการแล้ว การโมรูปยังไม่เสร็จ ต้องทำสีผมด้วยครับ วิธีทำให้กดปุ่ม เลือก Solid Color.. เลือกสีผมที่ต้องการ แล้วเปลี่ยน Mode เป็น Overlay ตามภาพ กด ctrl+i เพื่อทำให้ mask กลายเป็นสีดำ แล้วใช้สีขาวดาที่ผม อย่างบรรจง(วิธีคล้ายทำฉากเบลอ)

...4.)ที่ layer whiten คือการตัดเฉพาะส่วนเนื้อที่ต้องการทำให้ขาวขึ้น เราสามารถทำได้หลายทาง ที่แนะนำคือ ใช้ Lesso Tool(L) สร้าง selection บริเวณที่ต้องการก่อน จากนั้นกด(Q) เพื่อเข้าสู่ quick mask mode และใช้พู่กัน สีขาวและดำ ช่วยทำ selection แล้วกดที่ layer ori(ต้นฉบับ)ต่อไปกด ctrl+j เพื่อก๊อปเลเยอร์นั้นออกมา เมื่อได้ตามต้องการแล้ว ให้เลือกโหมดเป็น Screen

...5.)ต่อไป นำทุกเลเยอร์ไปไว้ใน folder เดียวกัน โดยกดที่ folder แล้วลากทุก layer เข้าไปเลือก duplicate group แล้วคลิกขวาที่กรุ๊ปใหม่เลือก merge group หรือกดน ctrl+shift+e ไปเลยตั้งแต่ก่อนสร้าง group ก็ได้(ไม่แนะนำ เพราะจะไม่สามารถกลับมาแก้ไขภาพเดิมได้อีก)


...6.) เมื่อได้ภาพแบบเลเยอร์เดียวเรียบร้อยแล้ว ให้คลิกขวากด duplicate ก็จะได้ภาพซ้ำขึ้นมา จากนั้นกดที่เลเยอร์บน เลือกโหมดเป็น soft light จะเห็นว่าภาพจะสดขึ้นและสีตัดกันมากขึ้น แล้วมาที่เลเยอร์ล่าง ไปคำสั่ง Filter>Blur>Gaussian Blur ตั้งตามความชอบ ดู preview ที่มี soft light ติดอยู่ด้านบนด้วยว่าเป็นยังไง มีเกร็ดเล็กๆน้อยๆคือ ที่เลเยอร์เบลอนั้น ใช้ history brush ทำตาให้คมชัด ไว้จะสอนเป็นการต่อไปครับ






เปรียบเทียบครับ


หลังทำ(บน) ตันฉบับ (ล่าง)



แค่หกขั้นตอนง่ายๆ เราก็สามารถ retouch ภาพเล็กๆน้อยๆ ให้มันสวยขึ้นได้อีกหน่อยแล้วล่ะครับ อิอิ

  1. แก้สี
  2. ทำฉากหลังเบลอ
  3. ย้อมสีผม
  4. ทำหน้าขาว
  5. ทำให้ภาพกลายเป็นเลเยอร์เดียว
  6. ก๊อปเลเยอร์เพิ่ม และเลือกโหมด soft light ให้อยู่ทับกับเลเยอร์เบลอ

แล้วก็อย่าลืมมาโพส Comment แนะนำติชมหรือซักถามข้อสงสัยกันได้นะครับ


วิธีโพสคอมเม็นท์ใน Blogspot

ใน blogspot(blogger) ที่ผมใช้อยู่ จะมีระบบคอมเม็นต์เช่นกันครับ แต่จะแตกต่างจากระบบที่คุ้นเคย เช่นของ storythai อะไรพวกนี้ โดยหลายท่านจะคิดว่า blogspot ต้องสมัครสมาชิกก่อน แต่จริงๆแล้วไม่ต้องเลย ทำตามภาพเอานะครับ


สิ่งสำคัญคือต้องเลือก Nickname ครับ แล้วมันจะไม่ถามหาความเป็นสมาชิกครับผม ลองดูได้เลย โดยเลื่อนไปด้านล่าง คำว่า Post a Comment ครับ